ธรรมะดีๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 สรุปคำสอนหลวงตามหาบัว ถ่ายทอดโดย รศ.ดร.สุชาดา บวรกิติวงศ์
หลวงตาเป็นยอดนักสู้กิเลสทีเดียว หลวงตาพูดเสมอว่าให้อยู่กับพุทโธ ไม่ปล่อย ไม่เผลอ สติเป็นพื้นฐานจำเป็น ไม่ลงให้กิเลส เพียรให้มาก อสุภะให้คล่อง ทำจิตให้สงบ จากนั้นใช้ปัญญาพิจารณาแยกทีละขันธ์อนิจจังทุกขังอนัตตา เพื่อจะไม่ยึดในขันธ์ว่าเป็นตัวเราของเรา
.
เวทนาที่เกิดขึ้นมันก็ไม่รู้ตัวว่ามันเป็นเวทนาหรืออะไรแต่จิตนี่เองไปตีความหมายว่าเป็นทุกขเวทนา ทุกอย่างอยู่ที่การรับรู้ของจิต ดังนั้นหากจิตรู้ว่าเป็นเพียงเวทนาที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วจะดับไป จิตก็จะทันเวทนาทำให้ไม่ทุกข์ ทำอย่างไรให้จิตเห็นความจริงตรงนี้ ไม่ตีความเป็นทุกขเวทนาแต่ให้รู้ยืนเด่นอยู่ว่าเดี๋ยวก็ดับ เป็นการเข้าใจขันธ์แบบแท้จริง
.
ห้องน้ำขัดกันสะอาดจนลื่นเป็นอันตราย เป็นเพียงที่ปล่อยทุกข์มีเครื่องสุขภัณฑ์ล้นไปหมด ขัดจนลื่นเป็นอันตรายทำให้หลวงปู่ขาวซึ่งนานๆเข้ากรุงเทพฯที ลื่นห้องน้ำในกรุงเทพฯ หลังจากนั้นเจ็บป่วยจนตาย ในห้องน้ำมีของใช้หรูหราฟู่ฟ่ามากเกินไป มนุษย์ห่วงแต่กาย กลัวเป็นอะไรแต่จิตใจเน่าเหม็นไม่รักษา หมักหมมไปด้วยกิเลสไม่จัดการ ติดในรสชาติ เงินทอง ของสวยของงาม ทั้งๆที่มันเป็นกิเลสแต่ไม่เข้าใจไม่รู้จักกิเลส อยู่กับกิเลสเครื่องดองใจ มนุษย์น่าสมเพชมาก หลงผิดตัวคือหลงกายแต่ไม่สนใจจิตใจ ต้องใช้ธรรมเท่านั้นมาสู้ได้
.
มนุษย์ถูกครอบด้วยกิเลสหนามาก ส่งกลิ่นเหม็น กลิ่นกิเลสแรงมาก ดูแล้วมนุษย์ไม่มีแรงพอจะสู้ เห็นแล้วน่าสงสารโดยเฉพาะเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกันเป็นห่วงมาก เห็นแล้วเซ่อซ่าเงอะงะมากขณะที่กิเลสมันกระตือรือร้นแข็งแรงมาก เห็นแล้วเป็นห่วงเพราะมนุษย์ถูกครอบงำด้วยกิเลสหนักขึ้นทุกวัน ไม่มีใครสนใจขัดให้เบาบางจึงแบกแต่ทุกข์มากขึ้นทุกวัน อำนาจของกิเลสหนาแน่น โลภมากขึ้นทุกวันจนถึงวันตายก็ยังไม่รู้ตัว กามราคะก็แรงขึ้นทุกวัน ไม่มีวันพอ โลกจึงร้อนด้วยไฟกิเลส โลกเย็นด้วยอำนาจของธรรมครอบงำแต่ไม่มีใครสนใจ ราคะตัณหารุนแรงมากน่าเป็นห่วง หมุนตัวขยายใหญ่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้มันโตฝังตัวลึกอยู่ภายใน อวิชชาเหมือนแผ่นดิน ราคะตัณหาคือต้นไม้ที่ขึ้นจากแผ่นดินครอบงำจนไม่เห็นแผ่นดินแล้ว
.
ทุกวันนี้จิตเดิมแท้ใสบริสุทธิ์แต่ถูกจอกแหนปกคลุมไว้หนาแน่นมากขึ้นทุกวัน น้ำมีอยู่แต่ไม่เคยเห็นจนคิดว่าไม่มี น่าสงสาร ไม่มีโอกาสได้เห็นความจริง โลกมีแต่เครื่องหลอกลวง ถูกกิเลสปิดสนิท ภัยของจิตคือราคะตัณหา จิตสงบคือสงบจากราคะตัณหา หากสงบมาก กิเลสไม่กวน เผลอเป็นเสื่อมต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ให้มองให้ทะลุ ทำลายภูเขาภูเรา ไม่มีเขาไม่มีเรา มองให้เห็นเป็นธรรมชาติ ความจริงไม่มีอดีตปัจจุบันอนาคต ธรรมชาติมันก็เป็นของมันอย่างนี้ เราไปสมมติเอาเองว่าเวลาผ่านไป หน้าที่เราคือทำลายภูเขาภูเราให้แตกกระจาย ธาตุขันธ์หลวงตามันกำลังจะหมดอายุ หายใจแขม่วๆ ข้าวก็ไม่อยากฉัน แต่จิตใสสว่างแข็งแรงมาก จิตก็จิต กายก็กาย เวลาเกิดเวทนาให้หนักแค่ไหนก็เข้าไม่ถึงใจ เวทนาก็สักแต่เวทนา เข้าในใจไม่ได้ พอแล้วไม่หวังไม่อยากอะไรจริงๆ ร่างกายหมดสภาพแล้วไม่ต้องใช้ยา ธรรมชาติจะทำหน้าที่ของมัน ห้ามปลุกห้ามเตือนอะไร ไม่ต้องเรียกขึ้นมาปล่อยให้ธรรมชาติมันทำงาน ไม่ให้ใครมายุ่งขอตายคนเดียว ไม่ต้องการดิ้นหาอะไร ไม่ห่วงอะไรแล้ว พร้อมไป ต่อให้พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าก็จะไม่ทูลถามอะไร ของอันเดียวกัน พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ก็อันเดียวกัน เป็นห่วงสัตว์โลกที่ไม่เห็นมายาของกิเลสว่ามันมาทุกทิศทุกทางจนไม่มีโอกาสจะเห็นมัน โดนมันหลอกมันต้มจนคิดว่าอยู่อย่างนี้ก็มีความสุขแล้ว มนุษย์เหมือนฝูงหนอน เพลินในสิ่งที่ไม่ควรเพลิน เพลินกินขี้ พระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหนไม่เห็นเพราะปัญญาไม่ถึง มนุษย์รับโทษในเรือนจำ นักโทษเจริญตรงไหน สุขตรงไหน โดนกิเลสคลุมหมด ดู ฟัง กิเลสทันที ลิ้มรส กิเลสทันที ไม่เห็น
.
วันๆจิตเอาแต่ปรุง มันปรุง เราหลงตามทันที จิตพระอรหันต์ไม่หลง ไม่ถูกหลอกเพราะเป็นจิตที่ไม่มีเจ้าของ เมื่อไม่มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะดูอยู่เฉยๆ สังขารขันธ์คือขันธ์ไม่มีเจ้าของ ทำอย่างไรให้ทันสังขารขันธ์ โลกนี้มืดจริงๆทั้งที่ตาใสแจ๋วแต่มองไม่เห็นกิเลสเลย ไม่มีอาการรู้เนื้อรู้ตัวกันเลย หากใจไม่หลงในตัวเองจะสนุกกับการดูผู้คนมาก โลกว่างอยู่แต่เห็นไม่ว่าง วางให้หมด ให้อำนาจธรรมอำนาจกิเลสสู้กัน มีธรรมมากจะเห็นกิเลสมาก ชนะได้ หากไม่เห็นไม่รู้ สู้ไม่ได้ ดูปั๊บกิเลสเกิดทันที ได้ยินกิเลสเกิดทันที เห็นอะไรทิ้งไปเลย ได้ยินอะไรทิ้งไปเลย เราเหมือนเต่าต้วมเตี้ยมไม่ทันกิเลส เหมือนหนอนที่เพลินในสิ่งที่ไม่ควรเพลิน อยู่กับธรรมชาติไม่มีอดีตอนาคต ความรู้ในพระไตรปิฎกเท่าตุ่มน้ำ ความรู้จริงเท่ามหาสมุทร พระธรรมเท่าฝ่ามือ กิเลสเท่ามหาสมุทร เป็นคู่ชกที่ไม่สมศักดิ์ศรีเลย แต่เมื่อมีปัญญา เดินปัญญาได้เองแล้วจะพัฒนาเร็วมาก มีคำถามว่าทำไมจิตไม่อยากเข้าสมาธิทั้งๆที่เคยทำได้อย่างง่ายดาย หลวงตาตอบว่าเพราะจิตที่ถึงระดับเดินปัญญาได้เองแล้วจะชอบวิปัสสนามากกว่าสมถะ การปฏิบัติกว่าจะถึงขั้นเดินสติปัฏฐานต้องใช้เวลา แต่เมื่อถึงแล้ว ผู้เดินสติปัฏฐานสี่อย่างช้า 7 วัน/เดือน/ปีจะบรรลุพอก้าวถึงสติอัตโนมัติอีก 7-8เดือนก็จะบรรลุ เมื่อถึงขั้นอริยมรรค กิเลสขาดสะบั้น ทีใครทีมัน แรกๆกิเลสก็เอาเราถึงตายเหมือนกัน พอเก่งแล้วอยู่กับใครไม่ได้เลยชอบอยู่คนเดียว