แบ่งปันธรรมะดีๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563
สรุปคำสอนสมเด็จองค์ปฐม ตอนที่ 2
ถ่ายทอดโดย รศ.ดร.สุชาดา บวรกิติวงศ์
ในตอนที่ 1 มี 7 ข้อ ในตอนที่ 2 นี้จึงขอต่อเนื่องเริ่มในข้อที่ 8-14 ดังนี้
8. เมื่อถูกนินทา ทำอย่างไรไม่ทุกข์
สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก ให้มองการถูกนินทาเป็นเรื่องธรรมดา มองทุกสิ่งลงที่กฎธรรมดา หมั่นพัฒนาตน อย่าให้เป็นตาคู่เดิม หูคู่เดิม ตาเคยเห็นรูปนี้แล้วโกรธลองพัฒนาให้เป็นตาคู่ใหม่ที่เห็นแล้วไม่โกรธ เมื่อก่อนหากใครมาพูดแบบนี้จะโกรธ ลองพัฒนาเป็นหูคู่ใหม่ว่าเป็นเพียงเสียงกระทบหู เดี๋ยวก็ดับไป ปล่อยวางการกระทบกันของตากับรูป หูกับเสียง ทุกคนยังมีตัวตน ยังมีความอยาก เมื่อเราไม่ตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็นินทาเป็นธรรมดาอย่างนั้น หากไม่อยากถูกนินทาก็ต้องเลิกนินทาคนอื่น การถูกนินทาจึงเป็นการใช้กรรม ผลของกรรมเที่ยงเสมอ และกรรมใดไม่เคยก่อ ก็จะไม่ต้องรับผลของกรรมนั้น พระองค์ให้เลิกนินทาจะได้ไม่ต้องวนเวียนในวัฏฏะ
9. ทุกอย่างไม่เที่ยง เกิด ดับ เป็นทุกข์ ไร้แก่นสาร
ชีวิตในแต่ละขณะมีแต่สิ่งเกิดดับ เหตุการณ์เมื่อวานหายไปไหน เหมือนไม่มีอยู่จริงบนโลก สิ่งเกิดดับเหล่านี้ล้วนไม่มีตัวตนมีอะไรบ้างที่ไม่เสื่อม ทุกอย่างเสื่อมหรือแก่ทุกขณะ ในที่สุดก็ดับไป แต่มนุษย์ยังยึดไว้เหมือนมีตัวตนที่มั่นคง การยึดสิ่งที่เสื่อมทุกขณะทำให้เป็นทุกข์ เช่นฝ่ายชายบอกรักฝ่ายหญิงแต่ไม่นานความรักหมดไป ฝ่ายหญิงกลับยึดคำพูดนั้นไว้ว่ายังอยู่ทั้งๆที่คำพูดนั้นเกิดและดับไปนานแล้ว การหลงยึดทำให้ทุกข์ ในเมื่อสรรพสิ่งมีแต่ของเกิดดับ ไร้แก่นสาร สมเด็จองค์ปฐมให้วาง ไม่ยึดอะไรทั้งนั้นเพราะมีแต่ของเกิดดับ ไม่ยึดไม่ทุกข์
10. ทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับของทิ้ง
ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อบ้าน รถยนต์ ทรัพย์สินเงินทอง เมื่อตายสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป หากมีมากก็จะสร้างปัญหาให้เขาแย่งกัน คนมีปัญญาจะไม่ลงทุนให้กับของทิ้ง มีพอประมาณอยู่ได้รู้จักพอ เวลาใกล้ตายมาถึงก็จะไม่กลัว พร้อมจากไปอย่างสงบ มองการจากเป็นเรื่องธรรมดา เพราะความตายเป็นสิ่งสมควรมากที่สุด ชีวิตดำรงอยู่ได้เพราะกรรมเก่าหล่อเลี้ยง เมื่อหมดกรรมก็อยู่ได้แค่นั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า เราไม่มีวัวควายจึงไม่มีปัญหาเรื่องวัวควายหาย เราไม่มีบ้าน ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเงินทอง จึงไม่มีอะไรต้องกังวลในสิ่งเหล่านี้ แม้วัดพระเชตวันที่อนาถบิณฑิกะเศรษฐีสร้างถวายก็ไม่ใช่ของเรา พระองค์ไม่เคยคิดว่าเป็นของพระองค์เลย เป็นเพียงสิ่งที่เขาสร้างถวายเท่านั้น ไม่ว่าจะมีคนถวายของมากมายเพียงใดไม่เคยคิดเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้นเลย มันเป็นเพียงสิ่งที่เขาถวายให้ใช้ประโยชน์ก็ใช้ให้เกิดประโยชน์เท่านั้น
11. ชีวิตประจำวันเป็นอย่างไรไปอย่างนั้น แต่ละวันยังมีความสุข-ทุกข์สลับกัน ยังอยู่ในวัฏฏะ
ในแต่ละวันบางคนสุขมากกว่า บางคนทุกข์มากกว่า สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่าชีวิตประจำวันนี่แหละเป็นกระจกส่องชีวิตหน้า มีความสุขมากกว่าก็จะเกิดเป็นเทพเทวดา มีความทุกข์มากกว่าก็มีโอกาสลงอบายภูมิมากกว่า ไม่ต้องรอให้ชาติหน้ามาถึง เห็นๆกันอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละ
12. อยู่ง่ายกินง่ายไม่ต้องพิถีพิถันเกินไป
ทุกวันนี้มนุษย์มีชีวิตที่หรูหรามาก เบียดเบียนธรรมชาติมาก มีปัจจัยสี่เพียงพอในการดำรงชีวิตก็พอ รู้จักประมาณในการบริโภค พวกที่พิถีพิถันมากเป็นคนยึดมั่นถือมั่นมาก ยึดว่าต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้น เขาถึงจะพอใจ พวกนี้จะทุกข์ง่าย
13. คุมธาตุไฟไม่ให้กำเริบ ด้วยการคุมอารมณ์ร้อน ประคองกาย ประคองจิต ให้ดี
มนุษย์ใส่ใจดูแลจิตน้อย เมื่อจิตเศร้าหมองควรรีบชำระด้วยการปล่อยวาง เพราะรู้ดีว่าจิตนี้เกิดดับเร็วมากไม่มีตัวตนอยู่จริงมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ผู้มีปัญญามากจะชำระได้เร็ว ผู้มีปัญญาน้อยจะใช้เวลา การเจริญปัญญาจึงมีความจำเป็นยิ่ง
14. ป่วยเพราะกรรมชั่วส่งผล ใช้กรรมไป ไม่ต้องทุกข์ กรรมมาแต่เหตุ
บางคนมีความเจ็บป่วยมารบกวนเนืองๆ บางคนมีรบกวนน้อย ทุกสิ่งมาแต่เหตุ ต้องชดใช้กันไป หากในอดีตเคยเบียดเบียนผู้อื่นมาก ก็ต้องใช้กรรมมาก ชาตินี้ไม่สร้างเหตุให้ต้องเบียดเบียนอีกเป็นพอ กายป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วยตาม ผู้มีปัญญาจะไม่ค่อยเดือดร้อนกับกายป่วยมากจนเกินไป เห็นเป็นธรรมดา เพราะได้ทำหน้าที่ดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว ป่วยได้ก็หายได้ ให้ความสำคัญกับการดูแลจิต ให้ตั้งมั่นในการละอกุศล ละกิเลส เจริญมรรคให้มาก เมื่อใจดีกายจะดีด้วย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำได้จริง จะได้พ้นทุกข์ การพ้นทุกข์อยู่ใกล้แค่เอื้อม ธรรมกลัวคนจริง